การใช้ยา และสารเคมีในปลาสวยงาม
เนื่องจากปัจจุบัน ความนิยมในการเลี้ยงปลาสวยงามมีมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงปลาสวยงามมีมากขึ้น หาง่าย และมีการพัฒนาไปมาก โดยเฉพาะยาและสารเคมีที่ใช้ในการดูแลสุขภาพ ที่มีจำหน่ายอยู่มากมายตามท้องตลาด การใช้ยาและสารเคมีนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ หากเราเลือกใช้ถูกต้องก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเลือกใช้ไม่ถูกต้อง หรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็จะเกิดผลเสียกับตัวปลาได้ ดังนั้นเราจึงควรรู้จักกลุ่มยาที่มีการใช้กันในปลาสวยงาม วิธีเลือกใช้ และวิธีการให้ยา รวมไปถึงอาการแพ้ยาในปลา เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกใช้ยา และสารเคมีกับปลาสวยงาม
ยาและสารเคมีที่นิยมใช้ในปลาสวยงามแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. ยาปฏิชีวนะ
2. ยาฆ่าพยาธิภายนอก เช่นฟอร์มาลิน มาลาไคร์กรีน และเกลือ
3. ยาฆ่าเชื่อ เช่น ด่างทับทิม
4. วิตามิน และ แร่ธาตุ
5. อื่นๆ เช่น ยากำจัดคลอรีน
ยาปฏิชีวนะ
โดยทั่วไป การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย หรือจากสาเหตุอื่นๆ แล้วมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งการใช้ยาปฏิชีวนะต้องมีการเลือกตัวยาให้เหมาะสมกับเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรค ใช้ให้ถูกขนาด ระยะเวลา จึงสามารถรักษาโรคได้ดีที่สุด
สาเหตุที่ใช้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล
· การดื้อยา มักเกิดในกรณีใช้ยาไม่เหมาะกับเชื้อ ใช้ไม่ถูกขนาด หรือระยะเวลาไม่เหมาะสม เช่นสั้นเกินไป หรือบ่อยเกินไป ทำให้เชื้อในร่างกายทนต่อเมื่อเกิดโรคจากเชื้อเดิมการใช้ยาตัวเดิมจึงไม่ได้ผล
· บางครั้งปลาที่แสดงอาการไม่สบายอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แต่มีสาเหตุอื่นๆ เช่น การจัดการ คุณภาพน้ำ พยาธิภายนอก การใช้ย่าปฏิชีวนะในการรักษาจึงไม่เห็นผลที่น่าพึงพอใจ
ข้อแนะนำในการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะ
· ใช้ยาในขนาด และระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการดื้อยา
· ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่ใช้บ่อยในการเลี้ยงปลาสวยงาม ได้แก่ oxytetracyclin, enrofloxacin, และ sulphatrimetroprime
ยาฆ่าพยาธิภายนอก
1. ฟอร์มาลิน formaldehyde 37%
ข้อบ่งใช้
มีฤทธิ์ในการกำจัดพยาธิภายนอก เช่น โปรโตซัว แบคทีเรีย เชื้อรา และนิยมใช้ในการฆ่าเชื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงปลาสวยงาม
ลักษณะ
เป็นของเหลวใส ไม่มีสี กลิ่นค่อนข้างรุนแรง
ข้อควรระวังในการใช้
· หากใช้ในขนาดที่สูงเกินไป อาจก่ออันตรายให้กับตัวปลาได้ โดยเฉพาะที่เหงือก
· มีผลทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง จึงควรเตรียมออกซิเจนให้เพียงพอ
· เป็นสารก่อความระคายเคือง ผู้ใช้ควรระวัง หลีกเลี่ยงการสูดดม และสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรง
วิธีใช้ ใช้กำจัดพยาธิภายนอกในตัวปลา (ควรเปลี่ยนน้ำออกอย่างน้อย 50% ก่อนใส่ยาครั้งต่อไป)
จาก Exotic animal formulary
0.125-0.25 ml/L 60 นาที Bath ทุก 24 ชั่วโมง 2-3 วัน
0.015-0.025 ml/L tank water ทุก 48 ชั่วโมง 3 ครั้ง
0.4 ml/L 1 ชั่วโมง ฺ Bath ทุก 3 วัน 3 ครั้ง น้ำอ่อน
0.5 ml/L 1 ชั่วโมง Bath ทุก 3 วัน 3 ครั้ง น้ำกระด้าง
2 ml/L 1 ชั่วโมง Bath ทุก 3 วัน 3 ครั้ง น้ำทะเล
2. มาลาไคท์กรีน
ข้อบ่งใช้
มีฤทธิ์เด่นในการกำจัดเชื้อราทั้งตัวปลาสวยงาม และไข่ปลา นอกจากนี้ยังใช้ในการกำจัดพยาธิภายนอก และเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
ลักษณะ
เป็นผงสีเขียว ก่อนใช้ให้นำมาละลายน้ำ
ข้อควรระวัง
· เป็นสารก่อมะเร็งในคน ห้ามใช้ในปลาบริโภค
· อาจก่อพิษอย่ารุนแรงในปลาบางชนิดเช่น อะโรวานา เสือตอ
วิธีใช้ ใช้กำจัดเชื้อรา (ควรเปลี่ยนน้ำออกอย่างน้อย 50% ก่อนใส่ยาครั้งต่อไป)
จาก The exotic animal drug compendium
ปลาสวยงาม 2 mg/L Dip 30 นาที
ปลาสวยงาม 0.1 mg/L Bath วันละครั้ง
ปลาสวยงาม 0.05 mg/L Dip 1 ชั่วโมง
ปลาสวยงาม 0.05 mg/L Bath ทุกวัน
ปลาในบ่อ 0.1-0.4 g/m3 Bath
จาก Exotic animal formulary
100 mg/L ทาบริเวณรอยโรคที่ผิวหนัง
0.1 mg/L tank water ทุก 3 วัน 3 ครั้ง
50-60 mg/L Bath 10-30 วินาที
1 mg/L Bath 30-60 นาที
3. เกลือ
ข้อบ่งใช้
ใช้ในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และพยาธิภายนอกบางชนิด ช่วยลดความเครียด เช่นการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การขนส่ง และใช้ในการรักษาสมดุลของร่างกาย
ลักษณะ
ผลึกสีขาว
วิธีใช้ ละลายน้ำ
จาก The exotic animal drug compendium
ปลาน้ำจืด 30-35 g/L Dip 4-5 นาที
ปลาสวยงาม 20-30 g/L Dip 30 นาที
ปลาขนาดเล็ก 5 g/L Dip 30 นาที
ปลาขนาดเล็ก 10 g/L Dip น้อยกว่า 10 นาที
ปลาน้ำจืดเขตร้อน 25 g/L Dip น้อยกว่า 5 นาที วันเว้นวัน
ปลาทอง 20-50 g/L Dip น้อยกว่า 15 นาที
ปลาคาร์พ 20-50 g/L Dip น้อยกว่า 15 นาที
จาก Exotic animal formulary
1-5 g/L tank water ไม่มีกำหนด ป้องกันหรือรักษาพยาธิภายนอก
10-30 g/L Bath 30 นาที
30-35 g/L Dip 4-5 นาที
ข้อแนะนำ
ควรใช้เกลือที่ไม่มีไอโอดีน หรือการเติมแร่ธาตุอื่นๆ ควรถ่ายน้ำออกครึ่งนึงก่อนใส่เกลือครั้งต่อไป ควรสังเกตระดับน้ำที่ลดลงและเติมน้ำใหม่ให้เท่าระดับเดิม เพื่อป้องกันไม่ใช้เกลือเข้มข้นมากเกินไป ไม่ควรใส่เกลือบ่อยเพราะความเค็มของน้ำจะส่งผลให้เมือกที่ตัวปลาลดลง
ยาฆ่าเชื้อ
1.ด่างทับทิม
ข้อบ่งใช้
มีฤทธิ์ในการกำจัดแบคทีเรีย และพยาธิภายนอกบางชนิด นอกจากนี้ยังใช้ในการฆ่าเชื้ออาหารสด พืชน้ำ และอุปกรณ์ต่างๆ
ลักษณะ
ผลึกสีม่วง ก่อนใช้ควรละลายน้ำ
ข้อควรระวัง
· ควรล้างอุปกรณ์ที่ได้รับการฆ่าเชื้อด้วยด่างทับทิมให้สะอาด เพราะด่างทับทิมที่ตกค้างอาจก่อความระคายเคืองกับผิวหนัง และเหงือก
· ควรใช้อย่างระวัดระวังในปลาไม่มีเกล็ด เพราะอาจก่อความระคายเคืองกับผิวหนัง และเหงือก
· หากใช้เกินขนาดจะทำให้ผิวหนัง และเหงือกไหม้ อาจถึงตายได้
วิธีใช้ ละลายน้ำ
จาก Fish disease diagnosis and treatment
1000 mg/L 10-40 วินาที
100 mg/L 5-10 นาที
20 mg/L 1 ชั่วโมง
2-5 mg/L Bath
จาก Exotic animal formulary
100 mg/L Dip 1-5 นาที
0.25-1.0 mg/L Bath 24-48 ชั่วโมง
0.15-0.2 mg/L tank water
0.2 mg/L tank water 14-21 วัน
2. คลอรีน
ข้อบ่งใช้
สำหรับฆ่าเชื้อในน้ำ และอุปกรณ์เท่านั้น ห้ามใช้กับปลาโดยเด็ดขาด
ลักษณะ
ผงสีขาวเมื่อละลายน้ำจะมีลักษณะใส ไม่มีสี
ข้อควรระวัง
มีความเป็นพิษกับปลาอย่างมาก อาจทำให้ปลาถึงตายได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนแล้วควรล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
วิตามิน และแร่ธาตุ
ปกติหากให้อาหารปลาด้วยอาหารสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ และปลามีสุขภาพแข็งแรงดี การให้สารเสริมพวกวิตามิน และแร่ธาตุจึงไม่มีความจำเป็นมากนัก แต่มักจะใช้ในกรณีที่ปลาป่วย หรือภาวะอื่นๆที่ทำให้ปลาเกิดความเครียด เช่นการขนย้ายปลา อากาศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิน้ำเย็นลง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ปลากินอาหารน้อยลง และยังมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย
การให้พวกวิตามินรวม จะสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปลาหายจากอาการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้น
อื่นๆ
1. ยากำจัดคลอรีน (โซเดียม ไธโอซัลเฟต)
ข้อแนะนำ
ใช้เพื่อกำจัดคลอรีนออกจากน้ำที่ใช้เลี้ยงปลา เช่น น้ำประปา และใช้ลดความเป็นพิษของคลอรีน
ลักษณะ
เป็นผลึกขาวใส ก่อนใช้ควรละลายน้ำ
ข้อควรระวัง
· หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลทำลายตับ และไต จึงแนะนำให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
· วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดคลอรีนคือการพักน้ำอย่างน้อย 2 วันก่อนนำมาใช้ คลอรีนจะระเหยไปเองหากต้องการเร่งให้ระเหยเร็วขึ้นอาจใส่หัวทรายลงไป
· 100 mg/L แช่ครั้งเดียว แก้พิษคลอรีน
วิธีการเลือกใช้ยา และข้อพิจารณาเกี่ยวกับการใช้ยา
1. เลือกยาที่มีคุณภาพ และดูวันหมดอายุที่ฉลากยาทุกครั้ง
2. การให้ยาควรคำนึงถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคเป็นหลัก หากไม่แน่ใจควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
3. คุณภาพน้ำเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณภาพน้ำไม่ดี สกปรก จะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
4. ระหว่างการให้ยาหรือสารเคมี ควรมีการให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอ มีการระบายน้ำเข้า – ออก เพื่อถ่ายของเสีย หรือยา และสารเคมีที่เสื่อมประสิทธิภาพออกจากตู้
5. ก่อนใส่ยา หรือสารเคมีทุกครั้ง ต้องมีการคำนวณปริมาณยาที่ให้ตามปริมาตรของน้ำ (ยาละลายน้ำ) หรือตามน้ำหนักตัวสัตว์ (ยาฉีด) แล้วแต่กรณี เพื่อป้องกันพิษของยา
6. หลังจากการใส่ยา หรือสารเคมีในตู้ปลา ควรสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติของปลา
7. ก่อนใส่ยา และสารเคมีใหม่ทุกครั้งควรทำการถ่ายน้ำเก่าออก ประมาณครึ่งนึงของตู้
วิธีการให้ยา
1. การให้ยาภายนอก
เป็นวิธีที่นิยมเนื่องจากสะดวก และปลาไม่บอบช้ำจากการจับต้อง โดยเฉพาะปลาที่มีขนาดเล็ก หรือมีปริมาณมากจนไม่สามารถจับฉีดเป็นรายตัว ยาที่ใช้ควรเป็นยาที่สามารถละลายน้ำได้ดี มีการกระจายตัวสูง และสามารถออกฤทธิ์ต่อภายนอกได้ เช่น ยาฆ่าพยาธิภายนอก ยาปฏิชีวนะบางชนิด
a. การจุ่ม
เหมาะสำหรับการเลี้ยงปลาที่มีประมาณน้อย สะดวกที่จะนำขึ้นมาจุ่ม จะใช้ปริมาณยาในความเข้มข้นสูง ระยะเวลาสั้น วิธีนี้จะทำให้ปลาเครียด และเกิดความเป็นพิษได้ง่าย
b. การแช่ระยะยาว
เหมาะสำหรับการเลี้ยงปลาในบ่อขนาดใหญ่ หรือมีปริมาณปลาค่อนข้างมาก จะใช้ในความเข้มข้นค่อนข้างต่ำ ระยะเวลานาน โดยละลายยา หรือสารเคมีลงในน้ำ และระหว่างให้ยาจะไม่มีการเปลี่ยนน้ำ แต่ถ้าจะให้ยาครั้งใหม่ต้องมีการถ่ายน้ำเก่าออกอย่างน้อยครึ่งนึง
c. การให้ยาเฉพาะที่
ใช้ในกรณีที่ปลามีบาดแผลที่ผิวหนัง ตามลำตัว โดยทายาหรือสารเคมีบริเวณแผลโดยตรง
2. การให้ยาภายใน
a. การให้ยาผสมอาหาร
โดยผสมยาลงในอาหาร แล้วนำไปให้ปลากิน มีข้อจำกัดคือ ยาอาจทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนไปจนปลากินอาหารลดลงหรือไม่กินเลย ซึ่งปกติปลาป่วยจะกินอาหารน้อยอยู่แล้ว จึงอาจทำให้ปลาไม่ได้รับยาในปริมาณที่เหมาะสม
b. การฉีดยา
เป็นวิธีที่ยาออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด และปลาได้รับปริมาณยาครบถ้วน เหมาะสำหรับปลาขนาดใหญ่ มีจำนวนไม่มาก หรือในกรณีฉุกเฉิน การฉีดยาจะทำให้ปลาเกิดความเครียดดังนั้นต้องมีวิธีจับบังคับอย่างเหมาะสม ผู้ฉีดควรเป็นสัตวแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญ เนื่องจากการฉีดที่ไม่ถูกวิธีจะก่อให้เกิดอันตรายถึงตายได้
วิธีการฉีดได้แก่ การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การฉีดเข้าหลอดเลือด การฉีดเข้าช่องท้อง และการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการรักษา ชนิดของยา และความจำเป็น
การแพ้ยา และสารเคมีในปลาสวยงาม
ปลาอาจแสดงอาการแพ้ยา หรือสารเคมีที่ให้ ดังนั้นหลังจากให้ยาควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้นกับปลาได้โดย
· ปลาแสดงอาการผิดปกติ หลังจากให้ยา หรือสารเคมีประมาณ 10 นาที แต่อาการแพ้จะเกิดช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับฤทธิ์ และปริมาณความเป็นพิษของยา และสารเคมีเหล่านั้น
· ปลาที่มีอาการแพ้ไม่มาก จะลอยตัวขึ้นเหนือน้ำ หายใจหอบถี่ การเคลื่อนไหวจะช้าผิดปกติ
· ปลาที่มีอาการแพ้มาก จะแสดงอาการทางประสาท เช่น ตื่นตกใจ หรือว่ายวนไปมาไร้ทิศทาง
· ปลาที่ตายจากการแพ้ยา จะมีอาการผิดปกติ เช่น พบจุดเลือดออกใต้เกล็ด ทวารหนัก หรือในลูกตา นอกจากนี้ยังพบว่ารูทวารหนักเปิดกว้างกว่าปกติ ตาโต
เมื่อปลาแสดงอาการแพ้ยา หรือสารเคมี ควรทำการเติมน้ำสะอาดลงในตู้ปลาเพื่อเจือจาง และสารเคมีดังกล่าวทันที และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ บางครั้งอาจต้องใช้สารเคมีบางอย่างพื่อลดความเป็นพิษ เมื่อปลาแสดงอาการดีขึ้นให้เปลี่ยนน้ำในตู้ด้วยน้ำสะอาด
เอกสารอ้างอิง
Treves-Brown KM. Applied fish pharmacology. 1 st ed. Netherland:Kluwer
academic publishers,2000.
Noga EJ. Fish disease:diagnosis and treatment. 1 st ed. St.louise:Mosby,1997.
Wildgoose WH. BSAVA manual of ornamental fish. 2nd ed. Gloucester:British Small Animal Veterinary Association, 2001.
Stoskopf MK. Fish Medicine. 1 st ed. Mexico:W.B. Saunders company,1993.
Marx KL, Roston MA. The exotic animal drug compendium an international formulary. New Jersy: Veterinary learning system, 1986.
Carpenter JW, Mashima TY, Rupiper DJ. Exotic animal formulary. 2nd ed. Philadelphia: W.B. Saunders, 2001.
By: สพ.ญ.กฤดา ชูเกียรติศิริ